เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ คุณครูเสาวภา พรหมทา ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ

Author Avatar

ไพรบึงวิทยาคม

0

Share post:

ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง

เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์งานประดิษฐ์

สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4

ชื่อผู้วิจัย นางเสาวภา  พรหมทา ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ

โรงเรียนไพรบึงวิทยาคม  ตำบลไพรบึง  อำเภอไพรบึง  จังหวัดศรีสะเกษ

ปีที่พิมพ์ 2559

 

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง  เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์ งานประดิษฐ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) เพื่อหาประสิทธิภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์งานประดิษฐ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อศึกษาทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์งานประดิษฐ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4           4) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังเรียน  ด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์งานประดิษฐ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี     การสร้างความรู้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์            งานประดิษฐ์

  กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/4 โรงเรียนไพรบึงวิทยาคม อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2559 จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบประเมินทักษะความคิดสร้างสรรค์ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์งานประดิษฐ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติ      ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่า  t – test แบบ dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา

ผลการวิจัย พบว่า  

1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎี   การสร้างความรู้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์งานประดิษฐ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.60/85.56 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2) ผลการประเมินทักษะความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนมีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับ    ดีมาก ( = 16.75) 3) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนโดยจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีสร้างการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์งานประดิษฐ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนมีค่าเท่ากับ ( = 34.18 S.D.= 0.81 ) สูงกว่าก่อนเรียนที่มีค่าเท่ากับ ( = 21.35 ,   S.D.=1.00) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ และ 4) ผลการศึกษาความคิดเห็นนักเรียนมีความคิดเห็นต่อรูปแบบการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมทักษะความคิดสร้างสรรค์ รายวิชาการประยุกต์งานประดิษฐ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.26,S.D. = 0.55 )  ซึ่งยอมรับสมมติฐานการวิจัย

 

 

ชื่อเรื่อง     การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการ

               ทำงาน รายวิชางานประดิษฐ์ 1 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2

ชื่อผู้วิจัย   นางเสาวภา  พรหมทา  ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ

               โรงเรียนไพรบึงวิทยาคม  ตำบลไพรบึง  อำเภอไพรบึง  จังหวัดศรีสะเกษ

ปีที่พิมพ์   2558

บทคัดย่อ

                 การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ  1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทำงาน รายวิชางานประดิษฐ์ 1 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  2) เพื่อหาประสิทธิภาพรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทำงาน รายวิชางานประดิษฐ์ 1 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อศึกษาทักษะกระบวนการทำงาน รายวิชางานประดิษฐ์ 1 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2  4) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2         ก่อนและหลังเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทำงาน และ 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทำงาน รายวิชางานประดิษฐ์ 1

                 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/3 โรงเรียนไพรบึงวิทยาคม อำเภอไพรบึง จังหวัดศรีสะเกษ ปีการศึกษา 2558 จำนวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่    1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการทำงาน 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ4) แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทำงาน รายวิชางานประดิษฐ์ 1 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าสถิติ ร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่า t –test  แบบ dependent และการวิเคราะห์เนื้อหา

                 ผลการวิจัยพบว่า

                 1) ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ        เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทำงาน รายวิชางานประดิษฐ์ 1 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.62/85.15 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 2) ผลการประเมินทักษะกระบวนการทำงานของนักเรียนมีค่าเฉลี่ยโดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก ( =36.71) 3) ผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนโดยจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทำงาน รายวิชางานประดิษฐ์ 1 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียน มีค่าเท่ากับ ( =   19.47,S.D.=   1.50) สูงกว่าก่อนเรียนที่มีค่าเท่ากับ( =   34.00,S.D.=   0.88) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้  และ 4) ผลการศึกษาความพึงพอใจ ต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ เพื่อส่งเสริมทักษะกระบวนการทำงาน รายวิชางานประดิษฐ์ 1 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.27,S.D.= 0.54)  ซึ่งยอมรับสมมติฐานการวิจัย

ภาพ
เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ คุณครูสถาพร ทำทอง ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ